- รายได้สุทธิ: กำไรที่บริษัทได้รับหลังจากหักค่าใช้จ่ายและภาษีทั้งหมด
- ส่วนของผู้ถือหุ้นเฉลี่ย: ส่วนของผู้ถือหุ้นเฉลี่ยที่ถือครองโดยผู้ถือหุ้นในช่วงเวลาหนึ่ง โดยทั่วไปคำนวณโดยการนำผลรวมของส่วนของผู้ถือหุ้นในช่วงต้นและสิ้นสุดของช่วงเวลามาหารด้วยสอง
วิธีคำนวณผลตอบแทนจากส่วนของผู้ถือหุ้นเพื่อให้ได้ข้อมูลเชิงลึกทางการเงินที่ดียิ่งขึ้น

การทำความเข้าใจตัวชี้วัดทางการเงินเป็นสิ่งสำคัญสำหรับนักลงทุนและเจ้าของธุรกิจ ในบรรดาตัวชี้วัดเหล่านี้ อัตราผลตอบแทนต่อส่วนของผู้ถือหุ้น (ROE) โดดเด่นในฐานะตัวบ่งชี้ที่สำคัญของความสามารถในการทำกำไรของบริษัทเมื่อเทียบกับส่วนของผู้ถือหุ้น การรู้วิธีคำนวณอัตราผลตอบแทนต่อส่วนของผู้ถือหุ้นสามารถให้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับความสามารถของบริษัทในการใช้ทรัพยากรเพื่อสร้างกำไร ทำให้เป็นเครื่องมือที่จำเป็นสำหรับการตัดสินใจอย่างมีข้อมูลทั้งในการลงทุนและการจัดการธุรกิจ มาทำความเข้าใจในตัวชี้วัดทางการเงินที่สำคัญนี้กันเถอะ
ทำความเข้าใจเกี่ยวกับผลตอบแทนต่อส่วนของผู้ถือหุ้น
ผลตอบแทนต่อส่วนของผู้ถือหุ้น (ROE) เป็นมาตรวัดความสามารถในการทำกำไรของบริษัทที่เปรียบเทียบรายได้สุทธิกับส่วนของผู้ถือหุ้น มันบ่งบอกถึงความสามารถของบริษัทในการใช้เงินทุนของผู้ถือหุ้นเพื่อสร้างกำไร ROE ที่สูงขึ้นบ่งบอกถึงการใช้ทุนส่วนของผู้ถือหุ้นอย่างมีประสิทธิภาพ
องค์ประกอบของ ROE
ROE คำนวณโดยใช้สูตร:
[ text{ROE} = frac{text{Net Income}}{text{Average Shareholders’ Equity}} ]
ขั้นตอนทีละขั้น:
ขั้นตอน | การกระทำ | คำอธิบาย |
---|---|---|
1 | รวบรวมงบการเงิน | รับงบกำไรขาดทุนและงบดุลของบริษัท |
2 | คำนวณรายได้สุทธิ | ระบุรายได้สุทธิจากงบกำไรขาดทุน |
3 | กำหนดส่วนของผู้ถือหุ้น | ค้นหาตัวเลขส่วนของผู้ถือหุ้นในงบดุล |
4 | คำนวณส่วนของผู้ถือหุ้นเฉลี่ย | เฉลี่ยค่าของส่วนของผู้ถือหุ้นในช่วงต้นและสิ้นสุด |
5 | ใช้สูตร ROE | หารรายได้สุทธิโดยส่วนของผู้ถือหุ้นเฉลี่ย |
การวิเคราะห์ ROE ในการตัดสินใจลงทุน
ROE ที่แข็งแกร่งสะท้อนถึงความสามารถของบริษัทในการเปลี่ยนการลงทุนในส่วนของผู้ถือหุ้นให้เป็นกำไร ทำให้เป็นตัวชี้วัดที่มีค่าสำหรับนักลงทุน จำเป็นต้องเปรียบเทียบ ROE ของบริษัทที่คล้ายกันในอุตสาหกรรมเดียวกันเพื่อวัดผลการดำเนินงานได้อย่างแม่นยำยิ่งขึ้น
ปัจจัยที่มีผลต่อ ROE
มีปัจจัยหลายอย่างที่มีผลต่อ ROE รวมถึงอัตรากำไรจากการดำเนินงาน การหมุนเวียนสินทรัพย์ และการใช้ประโยชน์ทางการเงิน นักลงทุนควรพิจารณาองค์ประกอบเหล่านี้เพื่อทำความเข้าใจว่า ROE ที่สูงเกิดจากประสิทธิภาพการดำเนินงานที่แท้จริงหรือการใช้ประโยชน์ทางการเงินที่เพิ่มขึ้น ซึ่งอาจบ่งบอกถึงความเสี่ยงที่สูงขึ้น
ข้อเท็จจริงที่น่าสนใจ: คุณรู้หรือไม่ว่า Warren Buffett หนึ่งในนักลงทุนที่ประสบความสำเร็จมากที่สุด ชอบบริษัทที่มี ROE สูงอย่างต่อเนื่อง? เขาเชื่อว่ามันสะท้อนถึงความสามารถของบริษัทในการรักษาและเติบโตความได้เปรียบในการแข่งขันของตนในระยะยาว
FAQ
อะไรที่ถือว่าเป็น ROE ที่ดี?
ROE ที่ดีจะแตกต่างกันไปตามอุตสาหกรรม แต่โดยทั่วไปแล้ว ROE ที่สูงกว่า 15% ถือว่าแข็งแกร่ง
ROE สามารถเป็นลบได้หรือไม่?
ใช่, ROE เชิงลบแสดงให้เห็นว่าบริษัทกำลังดำเนินงานขาดทุน หมายความว่าบริษัทไม่ได้สร้างรายได้เพียงพอที่จะครอบคลุมต้นทุนของทุนของบริษัท
ROE เกี่ยวข้องกับการซื้อขายอย่างรวดเร็วบนแพลตฟอร์มเช่น Pocket Option อย่างไร?
สำหรับการซื้อขายที่รวดเร็ว การทำความเข้าใจ ROE สามารถช่วยให้เทรดเดอร์ประเมินสุขภาพทางการเงินระยะยาวของบริษัท ซึ่งจะช่วยให้ตัดสินใจซื้อขายได้อย่างมีกลยุทธ์และมีกำไรมากขึ้น